Nutrition

Benefits of Durian

ทุเรียน ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ ที่สามารถรับประทานได้ทั้งสุกและห่ามแล้วแต่คนชอบ นอกจากนี้ยังนำไปใช้ทำอาหารได้อย่างหลากหลาย แม้แต่เมล็ดก็รับประทานได้แต่ต้องทำให้สุกก่อน จึงมีหลายท่านโปรดปรานที่ผลไม้ชนิดี้ แต่มักจะถูกทัดทานจากระดับน้ำตาล และ ไขมันเพิ่มสูงเกินระดับควบคุม จนเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ทุเรียนทำให้เบาหวานสูงขึ้น ไขมันสูงขึ้นจริงหรือ? กินทุเรียนมีประโยชน์มั้ย? เช่นนั้นเรามาดูข้อเท็จจริงของทุเรียนไปพร้อมกัน ทุเรียนมีมากกว่า 30 ชนิด แต่มีเพียง 9 ชนิดเท่านั้นที่สามารถรับประทานได้ และมีเพียงสายพันธุ์ Durio zibethinus ชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ในสายพันธุ์นี้ก็แบ่งแยกย่อยไปอีกมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและปลูกกันมากก็คือ พันธุ์หมอนทอง ชะนี กระดุมทอง และพันธุ์ก้านยาว เป็นต้น คุณค่าทางสารอาหารของทุเรียนแต่ละพันธุ์ คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อทุเรียนต่อ 100 กรัม ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database) ประโยชน์ของทุเรียน ทุเรียนพันธุ์หมอนทองสามารถช่วยลดระดับไขมันหรือคอเลสเตอรอลได้ เพราะทุเรียนสายพันธุ์นี้มีสารโพลีฟีนอล (Pholyphenols) และมีเส้นใยที่ช่วยลดไขมันได้ แต่ว่าต้องรับประทานแค่ 1 พูต่อวัน (นพ.กฤษดา ศิรามพุช) เนื่องจากทุเรียนมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทอง) การบริโภคทุเรียนในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันการเกิดโรคในมนุษย์ได้ เช่น โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง เป็นต้น แม้ทุเรียนจะมีไขมันมากก็ตาม แต่ก็เป็นไขมันชนิดดีที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย เส้นใยของทุเรียนมีส่วนช่วยในการขับถ่ายให้สะดวกยิ่งขึ้น ในทุเรียนมีโฟเลต (Folate) หรือ วิตามินบี 9 ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงดีต่อระบบเลือด นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็ก ป้องกันและรักษาภาวะโลหิตจาง ช่วยบำรุงสายตา และชะลอความเสื่อมกระจกตา ยิ่งเนื้อทุเรียนสีเหลืองเข้มเท่าไหร่ก็จะยิ่งพบเบตาแคโรทีนมาก ช่วยบำรุงสายตา ชะลอการเสื่อมของกระจกตา และป้องกันการเกิดต้อกระจกในกลุ่มผู้สูงอายุ ผลสามารถนำมาแปรรูปหรือทำเป็นขนมหวานได้หลายชนิด เช่น ลูกกวาดโบราณ, ขนมไหว้พระจันทร์, ขนมปังสอดไส้, ไอศกรีม, มิลก์เชก, เค้ก, คาปูชิโน, ข้าวเหนียวทุเรียน, เต็มโพยะก์, ทุเรียนดอง, ทุเรียนแช่อิ่ม, ทุเรียนกวน, ทุเรียนกรอบ, แยมทุเรียน ฯลฯ เมล็ดทุเรียนสามารถรับประทานได้ โดยนำมาทำให้สุกด้วยวิธีการคั่ว การทอดในน้ำมันมะพร้าว หรือการนึ่ง โดยเนื้อในจะมีลักษณะคล้ายกับเผือกหรือมันเทศแต่เหนียวกว่า ใบอ่อนหรือหน่อของทุเรียนสามารถนำมาใช้ทำอาหารบางอย่างคล้ายกับผักใบเขียวได้เช่นกัน เปลือกทุเรียนสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการรมควันปลา เปลือกสามารถนำมาผลิตทำเป็นกระดาษได้ ซึ่งจะมีเส้นใยเหนียวนุ่มและเหนียวกว่าเนื้อกระดาษสา ในประเทศอินโดนีเซียมีการนำดอกทุเรียนมารับประทาน สำหรับความเชื่อในบ้านเรานั้น การปลูกต้นทุเรียนไว้ในบริเวณบ้าน (ปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) เชื่อว่าผู้อยู่อาศัยจะเป็นผู้มีความรู้ แก่วิชาการเรียน หรือเป็นผู้รู้มาก เพราะคำว่าทุเรียนมีเสียงพ้องกับเกี่ยวกับการเรียนนั่นเอง ข้อควรระวัง ทุเรียนมีน้ำตาลและไขมันสูง และเป็นผลไม้ฤทธิ์ร้อน หากทานเยอะเกินไปอาจทำอ้วนได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง, โรคความดันโลหิตสูง และ โรคหัวใจ ให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ในบางรายอาจเกิดอาการแพ้ เช่น คัน ลมพิษ หายใจลำบาก แนะนำให้ทานในปริมาณเหมาะสม และปรึกษาแพทย์ก่อนทาน ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99/ | Medthai สรรพคุณทางยาของทุเรียน สรรพคุณตามตำรายาไทย ระบุไว้ว่า รากทุเรียน มีรสฝาดขมใช้แก้ไข้และแก้ท้องร่วง ใบทุเรียน มีรสขม เย็นเฝื่อน ใช้แก้ไข้ แก้ดีซ่าน ขับพยาธิ และทำให้หนองแห้ง เปลือกทุเรียน มีรสฝาดเฝื่อน ใช้รักษากลากเกลื้อน สมานแผล แก้น้ำเหลืองเสีย พุพอง แก้ฝี ตานซาง เนื้อทุเรียน มีรสหวาน ร้อน ใช้แก้จุกเสียดในท้อง ให้ความร้อนกับร่างกาย บำรุงกำลัง แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝีแห้ง และขับพยาธิไส้เดือน การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่า เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ลดไขมันในเลือด แต่ยังเป็นเพียงการศึกษาในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง สาร polysaccharide gel ที่ได้จากเปลือกทุเรียนมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด เมื่อนำไปผสมในอาหารสัตว์ก็พบว่าสามารถช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและภูมิคุ้มกันให้กับกุ้งได้ มีการนำ polysaccharide gel ไปพัฒนาเป็นแผ่นฟิล์มปิดแผล ซึ่งพบว่าช่วยสมานแผลและลดการอักเสบได้เป็นอย่างดี ทุเรียน กินตามนี้มีประโยชน์ จากข้อมูลของกรมอนามัยแนะนำว่า 👉 เลือกกินแบบที่ไม่สุกจัด เพราะปริมาณน้ำตาลจะเพิ่มขึ้นตามระดับความสุกของทุเรียน 👉 ไม่กินถี่ทุกวัน 👉 ไม่ควรกินทุเรียนเกินวันละ 2 เม็ดกลาง เนื่องจากการกินทุเรียน 4-6 เม็ด เทียบเท่ากับการดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง (พลังงานประมาณ 400 กิโลแคลอรี่) จึงเป็นเหตุให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินควร ดังนั้นไม่ควรรับประทานทุเรียนเกินวันละ 2 เม็ด 👉 ไม่ควรกินทุเรียนพร้อมกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 🍺พบว่าการกินของทั้งสองอย่างนี้พร้อมกัน อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น มีอาการหน้าแดง ชา วิงเวียน และอาเจียน ในบางกรณีที่รุนแรงหัวใจอาจเต้นผิดจังหวะ 👉 ไม่ควรกินเครื่องดื่มน้ำอัดลม 🥤 หรืออาหารที่มีรสหวานจัด คู่กับ ทุเรียน จะเป็นการเพิ่มน้ำตาลและให้พลังงานสูงให้แก่ร่างกาย หากรับประทานมากก็จะเป็นร้อนใน ยังสะสมเป็นไขมันที่ทำให้อ้วนด้วย นอกจากเนื้อทุเรียนแล้ว ยังหมายรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากทุเรียน เช่น ทุเรียนทอด ทุเรียนกวน ไอศกรีมรสทุเรียน🍨 หากรับประทานมากติดต่อกันหลายๆ วัน ก็จะทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาได้ ซึ่งเราควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย จึงจะได้ทั้งความอิ่มอร่อยและสุขภาพดีอย่างไม่ต้องกังวลกับปัญหาสุขภาพที่จะตามมา 👉 คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และความดันสูง ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ 👉 หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ 👉 ลดอาหารกลุ่ม ข้าว-แป้ง 1 ทัพพี ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัด หรือมันจัดในมื้อที่กินทุเรียน เพื่อที่จะได้รับพลังงานในปริมาณที่ไม่เกินกว่าร่างกายต้องการ ทุเรียนกับโรคประจำตัวยอดฮิต 1.ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุเรียนจัดเป็นผลไม้ที่ให้น้ำตาล ไขมัน และมีพลังงานสูง ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานกินทุเรียนเข้าไป อาจทำให้มีอาการน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ส่งผลให้เจ็บป่วยไม่สบายตัวหรือร้อนใน และอาจเป็นอันตรายถึงภาวะช็อกได้ 2.ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ทุเรียนจัดว่าเป็นผลไม้ฤทธิ์ร้อน จึงไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ความดันสูงขึ้นจนอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายได้ 3.ผู้ป่วยโรคไตและโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคไตร่างกายจะขับโพแทสเซียมออกได้ไม่ดี ซึ่งถ้ามีการสะสมของโพแทสเซียมปริมาณมาก จะส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ 4. ผู้ที่ต้องการคุมปริมาณน้ำตาลและไขมันในเลือด ทุเรียนจัดเป็นผลไม้ที่ให้น้ำตาล ไขมัน และมีพลังงานสูง ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการกินทุเรียน ทั้งทุเรียนสดและทุเรียนแปรรูป และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ข้อมูลอ้างอิง (Source) : ข่าวสาร : “ทุเรียน” กินอย่างไรไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในมุมมองของแพทย์จีน – มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (cmu.ac.th)

Loading

Benefits of Durian Read More »

8 วิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน – 8 Supplements for Immune booster

Mousai Wellness Center 8 วิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน แม้เราจะทราบกันดีว่าการเว้นระยะห่างทางสังคม การมีสุขอนามัยส่วนตัวที่ดี เช่น การกินร้อน ช้อนกลาง การล้างมือบ่อย ๆ หรือการใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือเป็นเรื่องหลักที่เราต้องให้ความสำคัญ แต่การที่เรามีภูมิคุ้มกันพื้นฐานที่ดีนั้น เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ ทั้งยังช่วยกำจัดเชื้อโรคให้ลดลงในช่วงแรก ลดความรุนแรงของโรค ลดระยะเวลาการเจ็บป่วย และลดอัตราการตายได้ ในช่วงวันแรก ๆ ที่ร่างกายของเราได้รับเชื้อเข้ามานั้น เชื้อเหล่านี้จะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้น  และเมื่อเชื้อโรคเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย ก็จะกระตุุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเราให้หลั่งสารอักเสบต่าง ๆ ออกมาเพื่อจัดการเชื้อโรค หลาย ๆ ครั้ง ที่ร่างกายของเราหลั่งสารอักเสบ ออกมามากเกินไปจนเกิดภาวะ Cytokine Storm (ภาวะที่ร่างกายหลั่งสารอักเสบออกมามากเกินไป กระตุ้นการอักเสบทั่วร่างกาย ทำให้อวัยวะหลายระบบล้มเหลว นำไปสู่การเสียขีวิตได้)  ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อโรค เราพบว่าผู้ป่วยส่วนมากที่เกิดภาวะปอดอักเสบ (Pneumonia) นั้น เกิดจากภาวะ Cytokine Storm ดังนั้น หัวใจสำคัญ คือ การดูแลภูมิคุ้มกันของเราให้สูง คุณภาพดี พร้อมทำงาน ยิ่งเราดูแลได้เร็วตั้งแต่ต้น ความรุนแรงจากการติดเชื้อโรค จะลดลงได้ วันนี้หมอจะมาแนะนำสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ 8 ตัวหลัก ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน 1. วิตามิน C จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นวิตามินหลักในระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ ทั้งแมคโครฟาจที่คอยจับกินเชื้อโรค และแบคทีเรีย กระตุ้น Natural killer (NK) cells T lymphocytes กระตุ้นการสร้างแอนตี้บอดี้ต่อต้านเชื้อโรค สามารถยับยั้งเชื้อโรค Anti-viral effect ยับยั้งการแบ่งตัว และ การกระจายตัวของเชื้อโรคได้เมื่อใช้ในปริมาณสูงในช่วงแรกของการติดเชื้อ สำหรับประโยชน์ในการยับยั้งเชื้อโรคนั้น งานวิจัยจากต่างประเทศพบว่า การได้รับวิตามินซีโดสสูงเร็วในภายใน 1-3 วันแรก สามารถยับยั้งเชื้อโรคได้ แต่ถ้าให้ช่วงวันหลัง ๆ ประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อจะลดลง แต่ยังคงช่วยลดระยะเวลาของการเจ็บป่วยลงได้จากประโยชน์ของการลดภาวะ Cytokine storm และยังสามารถลดอาการอักเสบในร่างกาย เช่น ที่ปอด ให้หายเร็วขึ้น สำหรับปริมาณ dose ที่แนะนำแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละสมาคม dose ที่แนะนำสำหรับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันนั้น งานวิจัยในต่างประเทศแนะนำว่า ควรใช้ 2-6 กรัม/วัน สำหรับ dose ที่สามารถกำจัดเชื้อโรคได้ อยู่ที่ 6-8 กรัม/วัน ขึ้นไป **ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้สารอาหารเสริมปริมาณสูง 2. สารเควอซิติน (Quercetin) เควอซิทิน เป็นสารที่อยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ สกัดจากพืชพบมากในหัวหอม โดยเฉพาะหอมแดง แอปเปิ้ล ชาเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ องุ่น ไวน์แดง เป็นต้น จัดเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammation) ขนาดสูง ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน เควอซิทินใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระมาอย่างยาวนาน งานวิจัยใหม่ ๆ ทั้งการทดลองในคนและสัตว์พบว่า สารสกัดเควอซิตินมีฤทธิ์ต้านเชื้อโรคได้อีกด้วย โดยสามารถ Block Receptor ที่เซลล์ ยับยั้งไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่เซลล์ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถทำหน้าที่ละลายเสมหะ หรือสารคัดหลั่งบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้นและปอดได้ 3. วิตามิน D ปัจจุบันเป็นวิตามินหลักที่ดูแลสุขภาพองค์รวม ในแง่ภูมิต้านทานนั้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว  งานวิจัยใหม่ ๆ พบว่า ภายในเซลล์เม็ดเลือดขาวของเรามีตัวรับวิตามินดีอยู่โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังสามารถลดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้านอื่น ๆ วิตามินดี ยังช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะ Cytokine Storm ได้อีกด้วย จากการที่วิตามินดีสามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้หลั่งสารเปปไทต์ The antimicrobial peptides (AMPs) 2 ชนิดหลัก คือ β-defensins และ สารcathelicidin ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสำหรับภูมิคุ้มกันขั้นต้น Natural หรือ Innate immunity โดยคุณสมบัติของเปปไทต์นี้ จะลดการสร้างสารก่อการอักเสบ ได้แก่สาร TNF-alpha, IL-2, IFN-gamma (INFγ) เป็นต้น งานวิจัยจำนวนมากในปัจจุบันพบว่า ผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดเหมาะสมสามารถป้องกันการติดเชื้อโรคได้ ผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำมักจะมีการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ได้ง่ายกว่า ส่วนผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดสูงนั้น อัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจน้อยกว่า และพบว่าสามารถลดอัตราการตายจากการติดเชื้อต่าง ๆได้อีกด้วย ทั้งเชื้อโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร ตับอักเสบ HIV เป็นต้น 4. สังกะสี (Zinc) ซิงค์ (Zinc) หรือแร่ธาตุสังกะสี เป็นแร่ธาตุที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งของร่างกาย จัดเป็นสาร Co-factor ช่วยทำปฏิกิริยากับเอนไซม์ (Enzyme) ต่าง ๆ ในร่างกายมากกว่า 200 เอนไซม์ มีความสำคัญมากกับระบบภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมให้ภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวหลายชนิดทั้งแมคโครฟาจ T lymphocyte และ Natural Killer (NK) Cell สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคได้ และยัง Block ไม่ให้เชื้อโรคบางชนิดเข้าสู่เซลล์ โดยซิงค์สามารถลดการทำงานของเอนไซม์ ACE2 ซึ่งเป็นตัวรับสำคัญของเชื้อหลาย ๆ ตัว ทำให้เชื้อเข้าสู่เซลล์ได้น้อยลง อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดโอกาสการเกิดภาวะ Cytokine Storm ได้อีกด้วย ผู้ที่มีแร่ธาตุซิงค์ต่ำ มีโอกาสติดชี้อทางเดินหายใจและปอดอักเสบเพิ่มขึ้นได้ ที่น่าสนใจคือ เราพบว่าประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกมากกว่า 30% มีภาวะพร่องแร่ธาตุซิงค์ สำหรับประโยชน์ในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคนั้น จะเกิดประโยชน์สูงสุด กรณีที่มีการรับประทานซิงค์เสริมภายใน 24 ชั่วโมงแรก ของการเริ่มมีอาการเจ็บป่วย 5. ซีลีเนียม (Selenium) แร่ธาตุซีลีเนียม เป็น co-enzyme ทำงานร่วมกับวิตามินซี วิตามินอี ในระบบการต่อต้านอนุมูลอิสระ งานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า สามารถต้านเชื้อไข้หวัดใหญ่ในหลายสายพันธุ์ รวมถึง H1N1 ได้ 6. วิตามิน A      เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจแข็งแรงขึ้น ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่เซลล์ นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระระดับสูงสามารถปรับภูมิคุ้มกันให้ปกติได้ 7. Fish Oil จุดเด่น คือ ลดการสร้างสารอักเสบ (Inflammatory Cytokines) เพิ่มการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) กระตุ้นการทำงานของ Natural Killer (NK) Cells 8. N-Acetyl Cysteine (NAC) มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันและระบบการหายใจ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดภาวะปอดอักเสบ สามารถลดการเกิดภาวะ Cytokine Storm ได้ และยังมีฤทธิ์ Anti-Virus สำหรับ Dose ที่แท้จริงของสารอาหารแต่ละชนิดที่ควรรับประทานต่อวันนั้น ขึ้นอยู่กับสุขภาพส่วนบุคคล และดุลยพินิจของแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนเลือกใช้สารอาหารเสริม .  หากต้องการสอบถามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมทดลองเข้ามาใช้บริการโปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพต่าง ๆ สามารถสำรองนัดหมายเข้ามาคุยกับคุณหมอเพื่อออกแบบ Program ที่เหมาะสมกับคุณ . ติดต่อได้ที่ศูนย์ดูแลสุขภาพ 🏥 Mousai Wellness Center 🌿.📍 https://maps.app.goo.gl/5upfoxwpdsg9hVNx5📩 Line : @MousaiWellness🌐 mousaiwellness.com☎️ 02-0964991 , 061-8941881 #Mousai #MousaiWellness #โปรโมชัน #Wellness #Holistic #ดูแลสุขภาพ#drbiglifestyelemedicine #lifestylemedicine #antiaging #health #healthy #immune #virus #ภูมิคุ้มกัน #ภูมิต้านทาน #คลินิกความงาม #ศูนย์สุขภาพ #ความงาม #ชะลอวัย #ตรวจสุขภาพ   เรียบเรียงโดย แพทย์หญิง ภิญญาพัชญ์ ชัยภูริหิรัญญ์ แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine) แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-aging and Regenerative Medicine) แพทย์เวชศาสตร์ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle medicine)

Loading

8 วิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน – 8 Supplements for Immune booster Read More »

Open

Mousai Wellness Tel
Mousai Wellness Line