STEM CELL THERAPY
Stem Cell therapy
สเต็มเซลล์หรือ เซลล์ต้นกำเนิดคืออะไร (What is stem cell?)
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือ เซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์ตัวอ่อนที่ยังไม่มีคุณสมบัติเฉพาะใดๆ แต่มีศักยภาพที่จะเพิ่มจำนวนใหม่ หรือ ที่เราเรียกว่า Self Regeneration และยังมีความสามารถพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากสเต็มเซลล์ที่ยังอ่อนเยาว์ พัฒนาให้กลายเป็นเซลล์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะเจาะจง (Differentiation)
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) เป็นเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์เนื้อเยื่อ และอวัยวะทุกชนิดในร่างกาย โดยยังไม่มีหน้าที่เฉพาะ แต่เมื่อมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมก็จะเกิดรหัสคำสั่งให้สเต็มเซลล์พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงตามที่ร่างกายต้องการเพื่อซ่อมแซมและเพิ่มเติมอวัยวะส่วนที่ชำรุดให้กลับมาเป็นปกติ
มนุษย์เราเมื่อคลอดออกมา จะมีเซลล์ประมาณ 60 ล้านล้านเซลล์ (10-100 ล้านล้านเซลล์) แต่ละเซลล์จะมีหน้าที่ และอายุขัยที่ต่างกัน เฉลี่ยประมาณ 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทและชนิดของเซลล์ ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีสเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อสร้างและทดแทนเซลล์เก่าที่แก่ เสียหาย หรือตายไปตลอดเวลา แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราพบว่าเมื่อมีอายุมากขึ้น จำนวนของสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ลดลง จึงทำให้ร่างกายเสื่อม แก่ และเป็นโรคมากขึ้น
การใช้เซลล์บำบัด (Cell therapy)
เป้าหมายของการใช้เซลล์บำบัด (Cell therapy) ในการแพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ร่างกายสามารถ
- Repair (การซ่อมแซม)
- Replace (การทดแทนส่วนที่สึกหรอ)
- Restore (การทำให้กลับมาทำงานได้อย่างเดิม)
- Regenerate (การฟื้นฟู)
โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ร่างกายสามารถกระตุ้นและซ่อมแซมเซลล์ของตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ (Body’s natural healing)
คุณสมบัติของสเต็มเซลล์ (Stem Cell Property)
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) จะมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากเซลล์ทั่วไป ไม่ว่าสเต็มเซลล์ (Stem Cell) นั้น จะมาจากแหล่งใดก็ตาม โดยจะมีคุณสมบัติพิเศษ 3 ประการดังนี้ :
- สเต็มเซลล์จะไม่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง (Stem cells are unspecialized)
- สเต็มเซลล์สามารถแบ่งตัวเองและสามารถผลิตสเต็มเซลล์ใหม่ได้ (Stem cells are capable of dividing and renewing themselves for long periods)
- สเต็มเซลล์สามารถเปลี่ยนตัวเอง ไปเป็นเซลล์ที่พัฒนาแล้ว (Stem cells can give rise to specialized cells. The signals inside and/or outside stem cells trigger this differentiation)
MSCs (Mesenchymal stem cells)
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) มีแหล่งที่มาหลากหลาย ซึ่งแต่ละแหล่งมีความสำคัญและคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น จากรก สายสะดือ ไขกระดูก เป็นต้น ซึ่งแหล่งเหล่านี้เป็นที่มาสำคัญของเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell)
MSCs (Mesenchymal stem cells) เป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่มีการศึกษาวิจัยและการนำไปใช้ ทางคลินิกกันอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากโรคของความเสื่อมเป็นโรคที่พบมาก ในปัจจุบัน โดย MSCs (Mesenchymal stem cells) ถูกค้นพบโดย Friedenstein AJ และ คณะ (1968) และมีการศึกษาอย่างมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน จึงได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ทางคลินิกกันอย่างแพร่หลาย
แหล่งที่มาของสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ได้แก่
- รก (Placenta)
- สายสะดือ (Umbilical Cord Blood)
- ไขกระดูก (Bone Marrow)
- น้ำคร่ำ (Amniotic Fluid)
- ไขมัน (Fat)
- ฟันน้ำนมเด็ก (Milk Teeth)
- สเต็มเซลล์จากกระแสเลือด (Peripheral Blood Stem Cells: PBSCs)
โดยเฉพาะรกและสายสะดือ เป็นแหล่งสเต็มเซลล์ที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากเซลล์เหล่านี้ยังอ่อนวัยและมีความสามารถในการพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้มาก
ประโยชน์ของการใช้สเต็มเซลล์ทางการแพทย์ (Applications of Stem cells)
สเต็มเซลล์มีศักยภาพในการรักษาและฟื้นฟูโรคต่างๆ มากมาย
- ซ่อมแซม และฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ (Aging)
- ช่วยลด และยับยั้งการอักเสบของร่างกาย (Inflammation)
- ช่วยบำรุงเซลล์ประสาท และสมอง (Brain)
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Immune)
- เตรียมร่างกายสำหรับผู้มีบุตรยาก (infertility)
- ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile dysfunction)
อีกทั้งยังช่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของร่างกาย (degenerative disease) ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต ไขมันพอกตับและพังผืดในตับ
โรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง ได้แก่ โรคอัลไซเมอร์ ภาวะสมองเสื่อม โรคพาร์กินสัน
โรคที่เกี่ยวข้องกับปอด โรคภูมิแพ้หอบหืด
โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง ( SLE ) โรครูมาตอย โรคสะเก็ดเงินและโรคผิวหนังอักเสบ
นอกจากนี้สเต็มเซลล์ (Stem cells)อาจช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจที่เสียหายจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis)
และโรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูกและข้อ ได้แก่ โรคข้ออักเสบและข้อเข่าเสื่อม
ประโยชน์ของสเต็มเซลล์
(Benefit of stem cell)
Enhances energy and vitality
เพิ่มพลังและความกระปรี้กระเปร่า
Reduces pain and inflammation
ลดอาการปวดและการอักเสบ
Enhances cardiovascular health
ฟื้นฟูหัวใจและหลอดเลือด
Anti-aging and cell rejuvenation
ชะลอวัยและฟื้นฟูเซลล์
Rectifies hormonal imbalance symptoms
ปรับสมดุลของฮอร์โมน
Reduces risk of chronic diseases
ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรัง
ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนทำสเต็มเซลล์ (Stem Cell)
– ตรวจเลือดก่อนทำสเต็มเซลล์ (Pre-Stem Cell Blood Work)
– พบแพทย์ (Doctor Consultation)
– สั่งเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ (Stem cell culture order)
ใครบ้างที่ควรทำสเต็มเซลล์ (Stem cells)
ผู้ที่ต้องการย้อนวัย (Age Reverse : Aging Fragility)
ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย (Revitalization)
ผู้ที่ต้องการให้สุขภาพดีผิวพรรณสดใส แลดูอ่อนเยาว์ (Skin Rejuvenation)
ผู้ที่ต้องการรักษาฟื้นฟูโรคทางข้อและกระดูก (Osteoarthritis)
ผู้ที่ต้องการรักษาฟื้นฟูโรคเบาหวาน (Diabetes)
ผู้ที่ต้องการรักษาฟื้นฟูโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction)
ผู้ที่ต้องการรักษาฟื้นฟูโรคความเสื่อมทางสมอง (Dementia)
คนในครอบครัวมีประวัติโรคทางพันธุกรรม (family history of inherited diseases)
การประยุกต์ใช้ Stem Cells ในปัจจุบัน (Stem cell therapy)
1. ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ (Peripheral intervenors therapy)
สำหรับการบำรุงและฟื้นฟูสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก มีการใช้อย่างแพร่หลายในโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อม (Degenerative disease) และเพื่อการชะลอวัย (Anti-Aging) รวมไปถึงการย้อนวัย (Reverse Aging)
โดยโรคที่มีการใช้อย่างแพร่หลายได้แก่ โรคเบาหวาน (Diabetes) โรคหัวใจ (Heart disease) โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s) โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome (IBS)) โรคโครห์น (Crohn’s Disease) โรคภูมิแพ้เรื้อรัง (Chronic allergy ) โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคไตเสื่อม (Chronic Kidney disease) ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver disease) และโรคหอบหืด (Asthma) เป็นต้น
2. ฉีดเข้าข้อเข่า (knee joint)
ในผู้ที่มีภาวะข้อเข้าเสื่อม (Knee osteoarthritis)
3. ฉีดเข้าบริเวณน้องชาย (penile injections)
สำหรับผู้ที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ โดยงานวิจัยพบว่าการฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปบริเวณน้องชาย สามารถเพิ่มความไวของระบบประสาทและสามารถช่วยให้การแข็งตัวดีขึ้น (Erectile dysfunction)
4. ฉีดที่บริเวณผิวหน้า (facial)
สำหรับผู้ที่อยากมีผิวหน้าแลดูอ่อนเยาว์ รูขุมขนกระชับและเรียบเนียน ผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายและสิวเรื้อรัง ( Chronic Acne and Dermatitis)
5. ฉีดเข้าบริเวณเส้นผม (Hair)
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง การฉีดสเต็มเซลล์บริเวณเส้นผม สามารถป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมและช่วยให้หนังศีรษะแข็งแรงขึ้น และยังสามารถกระต้นการงอกใหม่ของเส้นผมได้อีกด้วย (Hair loss)
6. ฉีดเข้าบริเวณข้อต่าง ๆ (other joints)
การใช้สเต็มเซลล์ฉีดเข้าข้อบริเวณต่างๆ มีการใช้มาอย่างยาวนานในแพทย์ด้านกระดูกและข้อ (orthopedics) ภาวะที่พบบ่อยได้แก่ ผู้ที่มีภาวะกระดูกต้นคอเสื่อม (Cervical osteoarthritis) กระดูกต้นคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท (cervical spondylosis radiculopathy) กระดูกสันหลังเสื่อม (Lumbar spondylosis) ไหล่ติด (frozen shoulder) รวมไปถึงโรครูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis)
Q&A
คำถามที่พบบ่อย! ที่คุณควรรู้ก่อนทำสเต็มเซลล์ (Stem Cell)
เมื่ออายุมากขึ้นจำนวนสเต็มเซลล์ลดลง เซลล์ในร่างกายมีการแบ่งตัวช้าลงและมีจำนวนเซลล์แก่มากกว่าเซลล์อ่อน ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความชรา! ให้ Mousai Wellness Center เป็นตัวแทนส่งต่อความอ่อนวัยไปถึงคุณอย่างมั่นใจ พร้อมชะลอความเสื่อมโทรมของร่างกายให้ช้าลง ด้วยบริการด้านสเต็มเซลล์ที่ออกแบบเฉพาะคุณคนพิเศษ
- ใช้สเต็มเซลล์ Mesenchymal Stem Cell (MSCs) ที่ผ่าน Lab USA มาตรฐานสากลระดับโลก
- มีกระบวนการคัดเลือกและจัดเก็บที่ได้คุณภาพ
- สเต็มเซลล์ผ่านการเพาะเลี้ยงด้วยอาหารที่ใช้เซรั่มสกัดคุณภาพสูง
- ใช้สเต็มเซลล์ที่มาจากจำนวนครั้งในการแบ่งตัวที่เหมาะสม ทำให้ได้เซลล์ที่มีขนาดและคุณภาพที่ดี
- ให้บริการออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคล มีการปรึกษา ประเมินร่างกาย และกำหนดปริมาณสเต็มเซลล์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกขั้นตอน
เพราะใครๆ ก็อยากแลดูเด็กกว่าอายุจริง พาคุณโกงอายุไปพร้อมกับเทคโนโลยีทางเลือกใหม่แห่งการชะลอวัย มั่นใจในบริการทุกระดับ สนใจติดต่อสอบถามเพื่อรับคำปรึกษาจากแพทย์และประเมินร่างกายได้ที่ Mousai Wellness Center ตลอดระยะเวลาทำการ
- สตรีมีครรภ์ หรือ อยู่ในระหว่างเตรียมการตั้งครรภ์
- ผู้ที่อยู่ระหว่างเข้ารับการรักษาโรคร้ายแรงบางชนิด และยังไม่สามารถควบคุมอาการได้
- งดการผ่าตัดใหญ่ ก่อนและหลังฉีดสเต็มเซลล์ 1 เดือน
- หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนทุกชนิด ก่อนและหลังฉีดสเต็มเซลล์ 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการเป็นหวัด ไม่สบายรุนแรง ก่อนและหลังฉีดสเต็มเซลล์ 1 สัปดาห์
- นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 8-12 ชม.
- งดอาหารประเภทของทอดของมันก่อนฉีดสเต็มเซลล์ประมาณ 2-3 วัน
- หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ใช้ประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำการรักษา
ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการรักษา หากช่วยเรื่องภูมิแพ้ เบาหวานชนิดที่ 1 หรือพัฒนาการเด็ก สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุยังน้อยขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์ หากวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสื่อมของโรค แนะนำให้เริ่มฉีดสเต็มเซลล์ ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงวัยที่มีการสะสมของปัญหาของความเสื่อมของโรค
หลังฉีดสเต็มเซลล์ไปประมาณ 1-4 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ซึ่งผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของสเต็มเซลล์ที่ใช้และจำนวนเซลล์ที่เหมาะสม โดยทั่วไปสเต็มเซลล์จะให้ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลร่างกายของตัวเอง และขึ้นกับปัญหาของโรคนั้นๆ
หลังจากฉีดสเต็มเซลล์ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้คือ อาการอ่อนเพลีย หรือง่วงนอนมากกว่าปกติ แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่า ชามะนาว จะช่วยให้อาการดีขึ้น พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ หรือในบางท่านอาจมีอาการปวดศรีษะ หรือไข้ต่ำๆ ได้บ้างเล็กน้อย
สเต็มเซลล์ของ Mousai Wellness Center เป็นสเต็มเซลล์ชนิด Mesenchymal Stem Cell (MSC Stem Cell) ซึ่งมีที่มาจาก ไขกระดูก สายสะดือ รกเด็ก และอื่นๆ ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ที่จะเลือกที่มาของสเต็มเซลล์เพื่อรักษาตามโรคนั้นๆ โดยเป็นเซลล์อ่อนต้นกําเนิดที่สามารถเพิ่มจํานวนตัวเองและพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการคัดเลือกและเพาะเลี้ยงในแลปมาตรฐานระดับโลกและถูกจัดเก็บในถังไนโตรเจนเหลวที่มีการควบคุมอุณหภูมิอย่างเหมาะสมตลอดเวลา
การใช้สเต็มเซลล์จากคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมาฉีดเข้าร่างกาย ก็สามารถทำได้โดยใช้สเต็มเซลล์ชนิด Mesenchymal Stem Cell จากคนอื่น (Allogeneic) เพราะเป็นสเต็มเซลล์ที่สามารถเข้ากับร่างกายของผู้รับได้ทุกคน ไม่มีผลต่อการกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน และไม่เกิดการต่อต้านเนื้อเยื่อในร่างกาย จึงสามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์อื่นๆ ได้ แต่ประสิทธิภาพขึ้นกับเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเซลล์
ความถี่ในการฉีดสเต็มเซลล์จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้รับบริการ เพราะแต่ละคนอาจมีความต้องการในการดูแลที่แตกต่างกัน และต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ที่จะกำหนดแผนการรักษาในแต่ละบุคคลร่วมด้วย โดยทั่วไปจะแนะนำให้ฉีดสเต็มเซลล์ได้ 1-3 ครั้ง/ปี ส่วนผู้ที่ฉีดสเต็มเซลล์เฉพาะจุดแนะนำให้ทำได้ไม่เกินปีละ 4 ครั้ง
การฉีดสเต็มเซลล์สามารถทำได้ในบริเวณที่ต้องการฟื้นฟู ทั้งบริเวณใบหน้า ลำคอ แก้ม ร่องแก้ม ใต้ตา ข้อเข่า ศีรษะ กล้ามเนื้อ และกระแสเลือด เป็นต้น แต่ควรปรึกษาและอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด
วิธีดูแลตัวเองและข้อห้ามหลังฉีดสเต็มเซลล์ที่ไม่ควรทำ ได้แก่
- หลีกเลี่ยงการเดินทางไปสถานที่เสี่ยงเชื้อโรค เช่น โรงพยาบาล คลินิก อย่างน้อย 3 วัน
- งดการผ่าตัดใหญ่ ก่อนและหลังฉีดสเต็มเซลล์ 1 เดือน
- หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนทุกชนิด ก่อนและหลังฉีดสเต็มเซลล์ 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการเป็นหวัด ไม่สบายรุนแรง ก่อนและหลังฉีดสเต็มเซลล์ 1 สัปดาห์
- งดการเล่นกีฬากลางแจ้งอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดอาหารมันและอาหารทอด หลังให้สเต็มเซลล์ประมาณ 3 วัน
- หลีกเลี่ยงการทำคีเลชั่น (Chelation Therapy) ประมาณ 1 สัปดาห์หลังฉีดสเต็มเซลล์