นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท ทำอย่างไรดี!

ปัญหาการนอนไม่หลับกำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในปัจจุบัน ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชากรเป็นอย่างมาก

ตามการสำรวจของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า คนไทยประมาณ 1 ใน 3 มีปัญหาการนอนหลับ โดยมีสาเหตุมาจากความเครียด ความวิตกกังวล ปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การดื่มกาแฟ การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน เป็นต้น

ในระดับโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรโลกมีปัญหาการนอนหลับ โดยพบมากในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากวิถีชีวิตที่เร่งรีบและความเครียดจากการทำงาน ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนามีสัดส่วนผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับน้อยกว่า แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน

การนอนไม่หลับมีผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะร่างกายต้องการการพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อฟื้นฟูสมดุล ผู้ที่นอนไม่หลับมักมีปัญหาสมาธิสั้น อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย และมีความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น

Table of Contents

10 สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการนอนไม่หลับ

แม้ว่าการนอนไม่หลับจะไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่ผลการศึกษาได้ระบุปัจจัยที่อาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาการนอนไม่หลับมากขึ้นได้ดังนี้

  1. วิถีชีวิต (Lifestyle) คนยุคใหม่มีวิถีชีวิตที่มีความเร่งรีบ แข่งขันสูง และมีกิจกรรมรอบตัวมากมาย ทำให้เกิดความวิตกกังวล จนเกิดอาการนอนไม่หลับ
    .
  2. การใช้สมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากเกินไป (Smartphone)ช่วงก่อนนอน แสงสว่างจากหน้าจอมือถืออาจมีผลกระทบต่อการนอนหลับ
    .
  3. ความเครียดและความวิตกกังวลเรื้อรัง (Stress) ความเครียดและความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอาจมีผลต่อการนอนหลับ ทั้งความกังวลเกี่ยวกับงาน การเงิน ปัญหาครอบครัว หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมแต่ละวัน
    .
  4. ความผิดปกติของอารมณ์ รวมถึงภาวะซึมเศร้า (Depression)
    .
  5. เพศ (Sex) โดยพบว่าเพศหญิงจะมีแนวโน้มการเกิดอาการนอนไม่หลับได้ง่ายกว่าเพศชาย
    .
  6. อายุที่มากขึ้น (Aging)
    .
  7. ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล (Hormone)
    .
  8. โรคเรื้อรัง (Sickness) เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และอาการปวดเรื้อรัง
    .
  9. ความผิดปกติอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการนอนหลับ (Other sleep Cause) เช่น โรคขาอยู่ไม่สุข (Restless legs syndrome (RLS) และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
    .
  10. พันธุกรรม (Genetics) หรือมีสมาชิกในครอบครัวที่มีอาการนอนไม่หลับ

ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ

ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมวงจรการนอนหลับของร่างกาย การผิดปกติของระดับฮอร์โมนเหล่านี้ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ ตื่นบ่อย หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นการรักษาสมดุลของฮอร์โมนจึงมีความสำคัญต่อการนอนหลับที่มีคุณภาพและสุขภาพที่ดี

1. Melatonin Hormone-ฮอร์โมนเมลาโทนิน (ราชาการนอนหลับ) 🛌

เมลาโทนินถูกสร้างขึ้นโดยต่อมไพเนียลในสมองของเรา โดยจะถูกปล่อยออกมาในช่วงกลางคืน ทำหน้าที่เตรียมความพร้อมร่างกายเพื่อการนอนหลับ เช่น ทำให้รู้สึกง่วงนอน ลดอุณหภูมิร่างกาย และชะลอการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ เมลาโทนินยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยชะลอวัยและลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้อีกด้วย เคราะห์ดีจริงๆ

2. Cortisol Hormone-ฮอร์โมนคอร์ติซอล 😡

คอร์ติซอลเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการจัดการความเครียด เมื่อร่างกายได้รับความเครียด ระดับคอร์ติซอลก็จะเพิ่มสูงขึ้น สิ่งนี้จะส่งผลให้รู้สึกกระวนกระวายและนอนหลับไม่สนิท ด้วยเหตุนี้ การลดความเครียดจึงมีความจำเป็นมากต่อการนอนหลับที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ การออกกำลังกายและการผ่อนคลายก่อนนอนก็ยังช่วยควบคุมระดับคอร์ติซอลได้ เรียกว่าดับเครียด นอนหลับดีไปในตัว!

3. Growth Hormone-โกรทฮอร์โมน 🌃

เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่มีบทบาทหลายด้าน หากมีระดับสูงผิดปกติ อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หรือนอนไม่สนิทได้ เนื่องจากส่งผลกดทับการทำงานของเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับนั่นเอง นอกจากนั้นยังอาจมีอาการกระวนกระวาย เครียด วิตกกังวล และนอนไม่พักผ่อนจริงๆ

4. Oxytocin Hormone-ฮอร์โมนออกซิโตซิน (ฮอร์โมนแห่งความรัก)🎎

Growth hormone มีบทบาทในการควบคุมการนอนหลับในผู้หญิงโดยเฉพาะระหว่างรอบเดือน เนื่องจากฮอร์โมนนี้มีระดับสูงสุดในช่วงก่อนมีประจำเดือน จึงอาจก่อให้เกิดอาการนอนไม่หลับได้ง่าย นอกจากนี้ การมีไข้หนาว ปวดศีรษะ และอารมณ์แปรปรวนก็เป็นอาการของโกรทที่อาจส่งผลให้นอนหลับไม่สนิทได้เช่นกัน วิธีการบรรเทาอาการ ได้แก่ การออกกำลังกาย ดื่มชาสมุนไพร หรือการนวดผ่อนคลายก่อนนอน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอนั่นเอง

5 Thyroid Hormone-ฮอร์โมนไทรอยด์ 🦋

ออกซิโตซินนั้นมีบทบาททั้งด้านการนอนหลับและความรัก

6. Estrogen Hormone-ฮอร์โมนเอสโตรเจน 👩‍🦰

เมื่อมีภาวะขาดสารไทรอกซินซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญจากต่อมไทรอยด์ จะทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน รวมถึงมีปัญหาในการนอนหลับด้วย เพราะฮอร์โมนไทรอยด์ช่วยควบคุมการนอนหลับและการตื่นตัว เมื่อขาดฮอร์โมนไทรอยด์อาจทำให้นอนหลับยาก หรือแม้แต่หยุดหายใจชั่วคราวขณะนอนหลับได้

วิธีจัดการ คือการรับประทานยาฮอร์โมนไทรอกซินเสริมตามแพทย์สั่ง รวมถึงปรับพฤติกรรมการนอนให้เหมาะสม เช่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นก่อนนอน พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

การจัดการภาวะนี้ อาจต้องปรับสมดุลฮอร์โมน หรือได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงมีวิธีปรับพฤติกรรมการนอน เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น มีกิจวัตรการนอนที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ฮอร์โมนแต่ละชนิดมีผลต่อการนอนหลับของเราอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ค่ะ เราต้องเอาใจใส่ดูแลร่างกายเพื่อให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนเหล่านี้สมดุลนะคะ แล้วการนอนหลับของเราก็จะดีตามไปด้วย  หากท่านใดมีคำถามเพิ่มเติม ก็สามารถสอบถามมาได้เลยนะคะ

ผลของการนอนไม่หลับต่อสุขภาพ

การนอนหลับเป็นกิจกรรมที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ เนื่องจากช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนและฟื้นฟูสภาพ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการนอนไม่หลับกลายเป็นประเด็นสุขภาพที่สำคัญในสังคมปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

ผลกระทบทางด้านร่างกาย

1. ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง: การขาดการนอนหลับทำให้ระดับฮอร์โมนที่ควบคุมภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงสูงต่อการติดหวัด 3 เท่า (Prather et al., 2015)

2. เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง: การนอนไม่พอก่อให้เกิดความเครียดต่อร่างกายในระยะยาว เพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลและระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจ (Buxton & Marcelli, 2010)

3. เพิ่มอัตราการเกิดอุบัติเหตุและความผิดพลาด: การง่วงนอนทำให้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาและความจำลดลง ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงประมาณ 20% ในผู้ที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน (Lim & Dinges, 2010)

ผลกระทบทางด้านจิตใจ

1. เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า: งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืนเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า สูงกว่าผู้ที่นอนหลับมากกว่า 8 ชั่วโมงถึง 2.8 เท่า (Zhai et al., 2015)

2. อารมณ์แปรปรวนง่ายขึ้น: การนอนไม่พอทำให้ระดับฮอร์โมนที่ควบคุมอารมณ์ผิดปกติ จึงเกิดอาการฉุนเฉียวง่าย อารมณ์แปรปรวน และควบคุมอารมณ์ได้ยากขึ้น (Minkel et al., 2012)

3. ส่งผลกระทบต่อภาวะสมองเสื่อม: งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการนอนหลับอย่างพอเพียงเป็นประจำมีความเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม เนื่องจากช่วยรักษาประสิทธิภาพของการทำงานของสมองในระยะยาว (Scullin & Bliwise, 2015)

การนอนไม่หลับอย่างเรื้อรังส่งผลเสียหายหลายด้านต่อสุขภาพ จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการนอนหลับ ด้วยการปรับพฤติกรรมการนอน หลีกเลี่ยงสิ่งที่รบกวนการนอนหลับ และปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยการนอนที่ดี เพื่อลดผลกระทบทางลบจากการขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ

นอนไม่หลับทำให้อ้วน !!

ในปัจจุบัน ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่น่าวิตก ซึ่งนอกจากปัจจัยด้านพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายแล้ว การนอนหลับที่ไม่เพียงพอยังมีความเชื่อมโยงกับภาวะดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ

การนอนหลับเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมสมดุลของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญและการรับประทานอาหาร เมื่อการนอนหลับมีปัญหา ระบบการทำงานของร่างกายก็จะผิดเพี้ยนไปด้วย นำไปสู่ปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้

หนึ่งในกลไกหลักที่เชื่อมโยงปัญหาการนอนไม่หลับกับความอ้วนคือ การทำงานของฮอร์โมน “เลปติน” ซึ่งมีบทบาทหลักในการควบคุมความหิวและความอยากอาหาร งานวิจัยพบว่าการนอนหลับน้อยเกินไปจะทำให้ร่างกายดื้อต่อฤทธิ์ของเลปติน ทำให้มีความรู้สึกหิวบ่อยครั้งและควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานไม่ได้ (Shubham et al., 2015)

นอกจากนี้ การนอนไม่พอยังมีผลในการเพิ่มระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการจัดการความเครียด ระดับคอร์ติซอลสูงมีผลทำให้เกิดการสะสมไขมันรอบเอวและช่วยเร่งกระบวนการสร้างไขมันใหม่ ผลการศึกษาของ Kumari et al. (2009) พบว่าผู้ที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืนมีระดับคอร์ติซอลสูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 50%

ภาวะการนอนหลับที่ไม่เพียงพอยังส่งผลต่อการทำงานของเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตขึ้นในรอบการนอนหลับและเกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญพลังงาน การขาดเมลาโทนินจะทำให้เผาผลาญพลังงานน้อยลง ประกอบกับการที่การนอนน้อยเองก็จะทำให้มีการเผาผลาญพลังงานน้อยลงอยู่แล้ว ก่อให้เกิดปัญหาการคงอยู่ของน้ำหนักส่วนเกิน (Gonnissen et al., 2013)

การรบกวนการนอนหลับยังอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรับประทานอาหารด้วย งานวิจัยของ Greer et al. (2013) พบว่าผู้ที่นอนหลับน้อยมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมันอิ่มตัว และรสหวานมากกว่าปกติ ซึ่งนำไปสู่การสะสมพลังงานส่วนเกินได้ในที่สุด

นอกเหนือจากความสัมพันธ์ในเชิงกลไกระดับฮอร์โมนและสรีรวิทยาแล้ว การนอนหลับที่ไม่เพียงพอยังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคอ้วน เช่น ความสามารถในการควบคุมตนเองลดลง การบริโภคอาหารเพิ่มขึ้นจากอารมณ์ การขาดแรงจูงใจในการออกกำลังกาย และพฤติกรรมเนือยนิ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะนำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกินโรคอ้วนได้ (Panossian & Veasey, 2012)

ผลการวิจัยจำนวนมากในปัจจุบันล้วนสนับสนุนความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างการนอนหลับที่ไม่เพียงพอกับการเกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาการนอนหลับ และการปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการรักษาสมดุลน้ำหนักและป้องกันโรคอ้วนได้อย่างยั่งยืน
นี่คือบทความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการนอนไม่หลับกับภาวะต่อมหมวกไตล้ม (Adrenal Fatigue) ความยาว 800 คำ พร้อมการอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ภาวะต่อมหมวกไตล้า "Adrenal Fatigue" ปัญหาหลักที่ทำให้นอนไม่หลับ

ภาวะต่อมหมวกไตล้า เป็นสภาวะที่ร่างกายเผชิญกับปัญหาความเครียดเรื้อรังจนต่อมหมวกไตทำงานหนักเกินไป ทำให้เกิดความล้าและอ่อนเพลียอย่างรุนแรง หลายคนอาจจะประหลาดใจว่าพฤติกรรมการนอนหลับก็สามารถส่งผลต่อการทำงานของต่อมหมวกไตและนำไปสู่ภาวะดังกล่าวได้

เมื่อการนอนหลับมีปัญหา ไม่ว่าจากการนอนน้อยเกินไปหรือคุณภาพการนอนไม่ดี ร่างกายจะเกิดภาวะเครียดเรื้อรังเนื่องจากขาดการพักผ่อนและการฟื้นฟูสมดุลอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ระบบต่อมไร้ท่อทำงานหนักขึ้นโดยเฉพาะต่อมหมวกไต 

ต่อมหมวกไตมีบทบาทสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่ตอบสนองต่อความเครียด คือ คอร์ติซอล เมื่อร่างกายขาดการนอนหลับ ระดับคอร์ติซอลจะสูงผิดปกติ ซึ่งการมีระดับคอร์ติซอลสูงเป็นระยะเวลานานๆ จนเกินความสามารถทนทานของต่อมหมวกไต ก็จะกลายเป็นสาเหตุนำไปสู่ภาวะต่อมหมวกไตล้มในที่สุด

งานวิจัยของ Leproult et al. (1997) พบว่าการนอนหลับน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อคืนเป็นเวลา 6 วันติดต่อกัน ทำให้ระดับคอร์ติซอลสูงขึ้นถึง 37% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่นอนหลับ 8 ชั่วโมง นอกจากนี้ งานวิจัยของ Wright et al. (2015) ยังพบว่าคนนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืนเป็นประจำ มีความเสี่ยงสูงกว่า 45% ที่จะเกิดภาวะต่อมหมวกไตล้ม

ปัญหาการนอนไม่หลับยังนำไปสู่ความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ นอกเหนือจากคอร์ติซอล ได้แก่ โกรทฮอร์โมน ไธรอยด์ฮอร์โมน และอินซูลิน ฮอร์โมนเหล่านี้ทำงานผิดปกติไป จะส่งผลให้เกิดปัญหาทับถมต่ออาการของภาวะต่อมหมวกไตล้ม เช่น นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน เบื่ออาหาร เครียด วิตกกังวล และอ่อนแรง เป็นต้น (Marcelle, 2015)

ผลกระทบอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมาหากปล่อยให้ภาวะต่อมหมวกไตล้มดำเนินไปนานโดยไม่ได้รับการแก้ไข ได้แก่ การเสียน้ำหนักโดยไม่ตั้งใจ ความจำเสื่อม นอนไม่หลับมากขึ้น อาการปวดบริเวณหลังคอ และความดันโลหิตสูงได้ (Wilson, 2001) 

ดังนั้น การดูแลรักษาคุณภาพการนอนหลับให้ดีจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะต่อมหมวกไตล้มตามมา วิธีการอาจทำได้โดยการรักษากิจวัตรการนอนให้สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนการนอน ผ่อนคลายความเครียดก่อนนอน และปรึกษาแพทย์หากพบปัญหาการนอนรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบร้ายแรงกับสุขภาพในระยะยาว

อาการนอนไม่หลับที่เกิดจากภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ

ฮอร์โมนไทรอยด์มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมการนอนหลับของร่างกาย ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติกับระดับฮอร์โมนไทรอยด์ โดยเฉพาะสภาวะที่มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำหรือภาวะไทรอยด์ร้อน ก็จะนำมาซึ่งปัญหาการนอนหลับต่างๆ ตามมา

ฮอร์โมนไทรอยด์ที่สำคัญต่อการควบคุมการนอนหลับ ได้แก่ ฮอร์โมนไทรอกซิน ซึ่งผลิตโดยต่อมไทรอยด์ ฮอร์โมนไทรอกซินมีหน้าที่ควบคุมวงจรการตื่น-การนอนของร่างกายตามธรรมชาติ เมื่อระดับฮอร์โมนนี้ผิดปกติ ก็จะส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับโดยตรง

เมื่อร่างกายมีภาวะขาดฮอร์โมนไทรอกซิน ระบบประสาทส่วนกลางจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ รวมถึงการทำงานของฮอร์โมนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนอนก็จะผิดปกติไปด้วย ส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ โดยพบได้ถึง 57-64% ในผู้ป่วยไทรอยด์ร้อน (Wichaidit et al., 2021)

อาการนอนไม่หลับจากภาวะไทรอยด์ร้อนมีหลายลักษณะ ทั้งการนอนไม่หลับเลย (Insomnia) การนอนหลับไม่สนิท การหลับลึกไม่เพียงพอ คุณภาพการนอนหลับไม่ดี การรบกวนการหายใจขณะนอนหลับ และการรู้สึกไม่ได้พักผ่อนเมื่อตื่นนอนแม้จะนอนมานานก็ตาม (Dikmetash et al., 2022)

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าภาวะไทรอยด์ร้อนมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของปฏิกิริยาสารประสาทในสมองที่เป็นตัวควบคุมการนอนหลับ โดยจะพบการทำงานของสารประสาทย้อนกลับ (Neurotransmitter Feedback) ผิดปกติไป เช่น การทำงานของสารประสาทเซโรโทนินเพิ่มขึ้นขณะนอนหลับแต่กลับลดลงในช่วงตื่น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้คนไทรอยด์ร้อนนอนไม่หลับได้ (Dikmetash et al., 2022)

นอกจากนี้ ภาวะไทรอยด์ร้อนยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนเมลาโทนินที่ผิดปกติไปด้วย ซึ่งเมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างตามรอบวันเพื่อควบคุมการหลับตื่น คนไทรอยด์ร้อนจะมีปริมาณเมลาโทนินในกระแสเลือดลดน้อยลง ส่งผลให้คุณภาพการนอนหลับด้อยลง (Rahman et al., 2016)

อาการนอนไม่หลับนอกจากจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียแล้ว ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้อีกด้วย จากการศึกษาพบว่าคนไทรอยด์ร้อนที่นอนไม่หลับมักจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า จิตใจมีปัญหา พฤติกรรมก้าวร้าว และมีความผิดปกติของการทำงานด้านการจำและความสนใจ (Ness-Abramof et al., 2010)

วิธีจัดการกับปัญหานอนไม่หลับสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์ร้อน ควรเริ่มจากการรักษาภาวะไทรอยด์ร้อนให้หายก่อนเป็นลำดับแรก โดยอาจต้องใช้ยารักษาไทรอยด์ร้อนตามแนวทางการรักษา หลังจากนั้นจึงทำการปรับพฤติกรรมการนอนและสร้างสุขอนามัยการนอนหลับที่ดี เช่น การรักษากิจวัตรการนอนให้สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนการนอน และใช้วิธีการผ่อนคลายความเครียดก่อนนอน เป็นต้น หากปัญหานอนไม่หลับยังดำเนินต่อไปอาจต้องรับการรักษาเป็นกรณีพิเศษจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไป

แพ็คเกจ การตรวจฮอร์โมน

References :
– Buxton, O. M., & Marcelli, E. (2010). Short and long sleep are positively associated with obesity, diabetes, hypertension, and cardiovascular disease among adults in the United States. Social Science & Medicine, 71(5), 1027-1036.
– Lim, J., & Dinges, D. F. (2010). A meta-analysis of the impact of short-term sleep deprivation on cognitive variables. Psychological Bulletin, 136(3), 375-389.
– Minkel, J., Moreta, M., Muto, J., Htaik, O., Jones, C., Basner, M., & Dinges, D. (2012). Sleep deprivation potentiates HPA axis stress reactivity in healthy adults. Health Psychology, 33(11), 1430–1434.
– Prather, A. A., Janicki-Deverts, D., Hall, M. H., & Cohen, S. (2015). Behaviorally assessed sleep and susceptibility to upper respiratory illness. Sleep, 38(9), 1497.
– Scullin, M. K., & Bliwise, D. L. (2015). Sleep, cognition, and normal aging: integrating a half century of multidisciplinary research. Perspectives on Psychological Science, 10(1), 97-137.
– Zhai, L., Zhang, H., & Zhang, D. (2015). Sleep duration and depression among adults: A meta‐analysis of prospective studies. Depression and Anxiety, 32(9), 664-670.
– Leproult, R., Copinschi, G., Buxton, O., & Van Cauter, E. (1997). Sleep loss results in an elevation of cortisol levels the next evening. Sleep, 20(10), 865-870.
– Marcelle, G. (2015). Chronic fatigue and hormones. Australian Family Physician, 44(4), 166-167.
– Wilson, J.L. (2001). Adrenal Fatigue: The 21st Century Stress Syndrome. Smart Publications.
– Wright Jr, K. P., Drake, A. L., Frey, D. J., Fleshner, M., Desouza, C. A., Gronfier, C., & Czeisler, C. A. (2015). Influence of sleep deprivation and circadian misalignment on cortisol, inflammatory markers, and cytokine balance. Brain, Behavior, and Immunity, 47, 24-34.

เอกสารอ้างอิง :
Gonnissen, H. K., Hulshof, T., Westerterp-Plantenga, M. S. (2013). Chronobiology

Open

Mousai Wellness Tel
Mousai Wellness Line