Cardiovascular Risk Check Up

The Power of Blood Tests for Cardiovascular risk factors.

          ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมตรวจเลือดประจำปีทุกปี เช่น ตรวจเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือด ไขมันพอกตับ ผลเลือดปกติทุกปี แต่ทำไมอยู่ ๆ ปีถัดไปจึงป่วยเป็นโรคหัวใจ?  หรือความจริงแล้วการตรวจเลือดประจำปีที่โรงพยาบาลนั้น ยังไม่เพียงพอ !! 

          ปัจจุบันองค์ความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก แต่น่าเสียดายที่องค์ความรู้เหล่านี้นั้น ยังจำกัดอยู่เพียงแค่บางกลุ่มเท่านั้น

          การแพทย์ด้านชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-aging and Regenerative medicine) ได้ศึกษาและพบว่า ปัจจุบันนี้ เราสามารถตรวจหาความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ (Heart attack) และความเสี่ยงการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบ (Stroke) ได้จากค่าเลือดกลุ่มใหม่ๆ  ได้แก่ Homocystein, hs-CRP, Ferritin, Fibrinogen, lipoprotein A, Oxidized LDL รวมถึงค่าที่บ่งชี้ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance)

          โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) เป็นอีกหนึ่งกลุ่มโรคที่มีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยรายใหม่ ทั้งยังมีรายงานการเสียชีวิตโดยเฉียบพลันให้เห็นกันบ่อยครั้ง แม้แต่ในกลุ่มของผู้ที่ออกกำลังกาย

          ข้อมูลสถิติขององค์การอนามัยโลก พบว่ามีคนเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นจำนวนถึง 7.2 ล้านคน หรือคิดเป็น 12.2% ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด

          สำหรับอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ในประเทศไทยประมาณปีละ 37,000 ราย เฉลี่ยเสียชีวิตชั่วโมงละ 2 คน ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันในประเทศไทย จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าที่อื่น ประมาณ 4-6 เท่า

          ดังนั้นการตรวจเมื่อมีอาการ อาจทำให้ช้าเกินไป ควรตรวจเฝ้าระวังเพื่อป้องกันความเสื่อม จะช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้ยืนยาว (Longevity) ได้ดียิ่งขึ้น

“ผลลัพธ์ในภาพและวิดิโอเป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคล… ผลลัพธ์การช่วยเรื่องสุขภาพของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน”

การตรวจเลือดพิเศษ (New Cardiovascular risk factors)  

สามารถบ่งชี้ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่

1.Homocysteine: สารโฮโมซีสเตอีน

          สารโฮโมซีสเตอีน จัดเป็นกรดอะมิโนซึ่งสร้างขึ้นในกระบวนการเมตาบอลิซึมปกติของร่างกาย แต่หากระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือดสูงเกินไปจะกลายเป็นของเสียของร่างกาย และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

          การศึกษาวิจัยหลายชิ้นพบว่า ระดับโฮโมซิสเตอีนสูงในเลือดสัมพันธ์กับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว (Atherosclerosis) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อผนังหลอดเลือดและทำให้เกิดการสะสมของไขมันคอเลสเตอรอลมากขึ้น

ความสำคัญ: ดังนั้น การตรวจระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือดจึงมีประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดล่วงหน้า ช่วยในการวางแผนรักษาและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

2.hs-CRP (High-Sensitivity C-Reactive: Protein) การตรวจหาระดับโปรตีนที่มีชื่อว่า C-reactive Protein

          hs-CRP หรือ High-sensitivity C-reactive protein เป็นตัวชี้วัดระดับการอักเสบในร่างกาย ที่มีความละเอียดสูง โดยเฉพาะระดับการอักเสบในผนังหลอดเลือด 

          การมีระดับ hs-CRP ในเลือดสูงสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เนื่องจากภาวะอักเสบเป็นกระบวนการสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันและการแข็งตัวของหลอดเลือด (Atherosclerosis)

          งานวิจัยจากวารสาร Lancet ในปี 2010 พบว่า ผู้ที่มีระดับ hs-CRP มากกว่า 3 มิลลิกรัม/ลิตร มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 58% ในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและเพิ่มความเสี่ยงถึง 83% ในการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ เมื่อเทียบกับผู้ที่มีระดับ hs-CRP น้อยกว่า 1 มิลลิกรัม/ลิตร

          นอกจากนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังพบว่า การลดระดับ hs-CRP ร่วมกับการควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ สามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองได้อย่างมีนัยสำคัญ (JUPITER Trial, 2008)

ความสำคัญ : ดังนั้น การตรวจวัดระดับ hs-CRP จึงมีประโยชน์ในการประเมินและคัดกรองความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง เพื่อวางแผนการรักษาและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3.Ferritin : สารเฟอร์ริติน

          เฟอร์ริติน คือโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งสำรองของธาตุเหล็ก เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณสะสมของธาตุเหล็กในร่างกาย หากมีระดับเฟอร์ริตินในเลือดสูงเกินไปบ่งบอกถึงการมีสารเหล็กสะสมในร่างกายมากเกินความจำเป็น ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ (Free radical) นำไปสู่ภาวะออกซิเดชัน และการอักเสบในหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว  (Atherosclerosis)

          การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่า ระดับเฟอร์ริตินที่สูงกว่า 200 นาโนกรัม/มิลลิลิตรในสตรี และ 300 นาโนกรัม/มิลลิลิตรในชาย มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2 เท่าในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (Kiechl et al., 1997)

          ความสำคัญ : ดังนั้น การตรวจวัดระดับเฟอร์ริตินจึงมีประโยชน์ในการคัดกรองภาวะออกซิเดชันและความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจล่วงหน้า เพื่อสามารถนำไปสู่การป้องกันและรักษาโรคได้อย่างทันท่วงที

4.Fibrinogen : ไฟบริโนเจน

          ไฟบริโนเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด (Blood clot) โดยร่างกายจะหลั่งมากขึ้น เมื่อเกิดการบาดเจ็บหรือมีการทำลายผนังเส้นเลือด  หากมีระดับไฟบริโนเจนในเลือดสูงเกินไป ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันหรือโรคหลอดเลือดสมองได้

          การศึกษาจากวารสาร European Heart Journal พบว่า ผู้ป่วยที่มีระดับไฟบริโนเจนในเลือดอยู่ในกลุ่มร้อยละ 20 สูงสุด มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 2.7 เท่า ในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เมื่อเทียบกับผู้ที่มีระดับไฟบริโนเจนต่ำกว่านั้น

What it Reveals: Fibrinogen measures blood clotting ability.

5.Lipoprotein A : ไลโปโปรตีน (เอ)

          ไลโปโปรตีน (เอ) เป็นโปรตีนที่คล้ายคลึงกับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ซึ่งมีบทบาทในการขนส่งคอเลสเตอรอลและไขมันให้แก่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ไลโปโปรตีน(เอ) ที่สูงมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง เนื่องจากไลโปโปรตีน(เอ) มีแนวโน้มที่จะเกาะตัวอยู่กับผนังหลอดเลือดได้ง่ายกว่า LDL ทั่วไป ทำให้เกิดการสะสมของคอเลสเตอรอลและนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

          ระดับไลโปโปรตีน (เอ) นั้นเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม หากในครอบครัวมีผู้ที่มีระดับไลโปโปรตีน (เอ) สูง สมาชิกในครอบครัว ควรตรวจคัดกรองและประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดล่วงหน้า เพื่อวางแผนการป้องกันและรักษาได้อย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ

ขอบคุณรูปภาพจาก https://sciencex.com/wire-news

6.Oxidized LDL (Low-Density Lipoprotein)

          Oxidized LDL หรือ LDL ที่ถูกออกซิเดชัน คือ ไขมันคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ที่ถูกทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้โครงสร้างของ LDL เปลี่ยนแปลงไป  

        โดย LDL ที่ถูกออกซิเดชันนี้มีความเป็นพิษต่อเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดมากกว่า LDL ปกติ เมื่อมันเข้าไปในผนังหลอดเลือด จะกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำการอักเสบและสะสมเซลล์โฟม (foam cell) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ

          การศึกษาจากวารสาร Journal of the American College of Cardiology พบว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจมีระดับ oxidized LDL สูงกว่าคนปกติถึง 2-3 เท่า และระดับที่สูงนี้สัมพันธ์กับความรุนแรงของการตีบแคบในหลอดเลือดหัวใจอย่างมีนัยสำคัญ

          นอกจากนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยโตเกียวยังพบว่า การลดลงของระดับ oxidized LDL ในเลือด สามารถชะลอการดำเนินโรคและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันซ้ำได้ถึง 40% (Tsimikas et al., 2020)

          ดังนั้น oxidized LDL จึงเป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ การตรวจวัดค่านี้จะช่วยให้แพทย์ประเมินสภาวะการอักเสบและอันตรายในหลอดเลือดได้ดียิ่งขึ้น เพื่อกำหนดแนวทางการรักษาและป้องกันโรคหัวใจที่เหมาะสมต่อไป

7.Insulin Resistance : ภาวะดื้ออินซูลิน

          ภาวะดื้ออินซูลิน คือ ภาวะที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งภาวะนี้มีความเชื่อมโยงอย่างมากกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

          เมื่อมีภาวะดื้ออินซูลิน เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการสะสมของน้ำตาลและไขมันในกระแสเลือดมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และการอักเสบในหลอดเลือด

          ปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจขาดเลือด

          งานวิจัยจากวารสาร Lancet พบว่า ผู้ที่มีภาวะดื้ออินซูลิน มีความเสี่ยงสูงขึ้น 2-3 เท่าในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีภาวะดื้ออินซูลิน

          จากการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังพบอีกว่า การลดลงของภาวะดื้ออินซูลินด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ถึง 50% (Diabetes Prevention Program Research Group, 2009)

Empower yourself. Protect your heart

ความเสี่ยงโรคหัวใจ ใครควรตรวจ?

  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
  • ผู้ที่สูบบุหรี่เกิน 10 มวน/วัน
  • ผู้ที่มีความเครียดสะสม
  • โรคอ้วนลงพุง
  • สตรีหลังหมดประจำเดือน
  • สตรีที่ทานยาคุมกำเนิด
  • ผู้ที่รับประทานอาหารเค็มจัด
  • กรรมพันธุ์

 

Ref.กรมควบคุมโรค

          ในปัจจุบันมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มมากขึ้น นอกจากปัจจัยภายในร่างกายแล้ว สภาวะแวดล้อม เช่น PM. 2.5 หรือแม้แต่ความแปรปรวนของอากาศ ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้การเกิดโรค และความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น

การเตรียมตัวก่อนตรวจ

  • งดการออกกำลังกายหนัก ก่อนตรวจ 1 วัน
  • งดน้ำและอาหารก่อนเก็บตัวอย่างเลือด อย่างน้อย 10 ชั่วโมง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ 8-10 ชั่วโมง

ขั้นตอนการตรวจ

          เพียงเดินทางมายัง Mousai Wellness Center ในวันเวลาที่นัดหมายเพื่อให้เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจ เหมือนการตรวจเลือดทางชีวภาพทั่วไป โดยต้องงดน้ำและอาหาร อย่างน้อย 10 ชั่วโมงก่อนเก็บตัวอย่างเลือด ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีในการเก็บตัวอย่าง แล้วนัดฟังผลเลือดกับคุณหมอในวันเวลาที่สะดวก

          ด้วยประสบการณ์ของทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญประจำ Mousai Wellness Center ทางคลินิกของเราไม่ได้เพียงแค่ตรวจเลือดแล้วแจ้งผลตรวจ หรือปล่อยให้คนไข้เกิดความกังวลแล้วรอตัวโรคเกิดขึ้นเท่านั้น

          ทางเราช่วยวางแผนแก้ไขและกำจัดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ก่อน ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การปรับ Lifestyle, การปรับอาหาร (Diet and Nutrition consultation) การแนะนำรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม (Exercise program) , การแนะนำวิตามินเสริมเฉพาะบุคคล (Personalized supplement) การให้วิตามินบำบัดทางหลอดเลือด (Intraveous infusions) รวมไปถึงคำแนะนำด้านการใช้เซลล์บำบัด (Stemcell therapy)

แพ็กเกจตรวจหาความเสี่ยงหลอดเลือดและหัวใจ

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่

References:

Serban Maierean, Richard Webb, Maciej Banach, Mohsen Mazidi, The role of inflammation and the possibilities of inflammation reduction to prevent cardiovascular events, European Heart Journal Open, Volume 2, Issue 4, July 2022, oeac039, https://doi.org/10.1093/ehjopen/oeac039

Citation: Adapted from “Facts About High Homocysteine in Blood” by Dr. Mallesh Cardiac, drmalleshcardiac.com, January 2022.

You, S.-A., & Wang, Q. (2005). Ferritin in atherosclerosis. Clinica Chimica Acta, 357(1), 1–16. doi:10.1016/j.cccn.2005.02.001

Shao, C., Wang, J., Tian, J., Tang, Yd. (2020). Coronary Artery Disease: From Mechanism to Clinical Practice. In: Wang, M. (eds) Coronary Artery Disease: Therapeutics and Drug Discovery. Advances in Experimental Medicine and Biology, vol 1177. Springer, Singapore. https://doi.org/10.1007/978-981-15-2517-9_1

Citation: Adapted from “High Sensitivity C-Reactive Protein (hs-CRP)” by Thyrocare at Second Medic, www.secondmedic.com/lab/thyrocare/high-sensitivity-c-reactive-protein-hs-crp.

                Reyes-Soffer G, Ginsberg HN, Berglund L, Duell PB, Heffron SP, Kamstrup PR, Lloyd-Jones DM, Marcovina SM, Yeang C, Koschinsky ML; American Heart Association Council on Arteriosclerosis, Thrombosis and Vascular Biology; Council on Cardiovascular Radiology and Intervention; and Council on Peripheral Vascular Disease. Lipoprotein(a): A Genetically Determined, Causal, and Prevalent Risk Factor for Atherosclerotic Cardiovascular Disease: A Scientific Statement From the American Heart Association. Arterioscler Thromb Vasc Biol. 2022 Jan;42(1):e48-e60. doi: 10.1161/ATV.0000000000000147. Epub 2021 Oct 14. PMID: 34647487; PMCID: PMC9989949.

Pinyapat Chaipurihiran (Dr.Big), M.D; Preventive Medicine in Public Health, ABAARM, IBLM

Mousai Wellness Center

The professional Anti-aging Center, you can trust.

#HeartHealth #BloodTests #StrokePrevention #CardiovascularHealth #KnowYourNumbers #PreventionIsKey#HeartGuard Package#Protect, Prevent, Prevail #ตรวจก่อนรู้ก่อน ป้องกันได้#mousai#mousaiwellness#anti-aging#reverseaging#holistic#wellness

Open

Mousai Wellness Tel
Mousai Wellness Line