Phospholipid Therapy (Plaque-X)
Phospholipid Therapy หรือที่รู้จักในชื่อ Plaquex Therapy เป็นวิธีการรักษาที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ที่ได้รับความเสียหายทั่วร่างกาย โดยใช้สารสำคัญอย่าง Phosphatidylcholine ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ในการช่วยฟื้นฟูเซลล์ เพิ่มการไหลเวียนโลหิต และรักษาปัญหาหลอดเลือดและโรคหัวใจ
Plaquex Therapy มีประโยชน์โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแข็งตัวหรือเสื่อมสภาพ (Atherosclerosis) ที่เกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด การรักษานี้จะช่วยขจัดไขมันและสารพิษที่สะสมในเซลล์และหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ลดระดับคอเลสเตอรอล และส่งเสริมการทำงานของหัวใจ
การทำงานของ Plaquex และ Phosphatidylcholine
Phosphatidylcholine (PC) เป็นสารสำคัญที่ช่วยรักษาโครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สารพิษ การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล ความเครียด และความชราจะทำให้เยื่อหุ้มเซลล์เสียหาย โดยเฉพาะในระบบหลอดเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาหลอดเลือดและโรคหัวใจได้
Plaquex Therapy ทำงานโดยการฉีด Phosphatidylcholine เข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งจะทำหน้าที่ดังนี้:
• ขจัดคราบไขมันในหลอดเลือด: Phosphatidylcholine ทำหน้าที่เป็นอิมัลซิไฟเออร์ ช่วยละลายและขจัดคอเลสเตอรอลที่สะสมอยู่ในผนังหลอดเลือด
• เพิ่มการไหลเวียนของเลือด: เมื่อคราบไขมันถูกขจัดออก หลอดเลือดจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และส่งเสริมการส่งออกซิเจนไปยังอวัยวะต่าง ๆ
• ซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย: Phosphatidylcholine ช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้สุขภาพของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายดีขึ้น โดยเฉพาะในตับ หัวใจ และระบบประสาท
ประโยชน์ของ Plaquex และ Phosphatidylcholine Therapy
1. สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: Plaquex Therapy มีประสิทธิภาพสูงในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด
2. คุณสมบัติต้านความชรา: Phospholipid Therapy ช่วยชะลอกระบวนการชรา โดยซ่อมแซมเซลล์และรักษาการทำงานของเซลล์ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย
3. การล้างพิษ: Plaquex ช่วยขจัดสารพิษและโลหะหนักที่สะสมอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์ ส่งเสริมการล้างพิษตามธรรมชาติของร่างกาย
4. สุขภาพตับ: Phosphatidylcholine เป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูการทำงานของตับ ช่วยรักษาโรคตับไขมันและฟื้นฟูเซลล์ตับที่เสียหาย
หลักฐานทางการแพทย์ของ Plaquex และ Phosphatidylcholine Therapy
มีการศึกษาทางการแพทย์หลายฉบับที่สนับสนุนประสิทธิภาพของ Plaquex และ Phosphatidylcholine ในการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ:
• การรักษาภาวะหลอดเลือดแข็งตัว: การวิจัยพบว่า Phosphatidylcholine ช่วยลดความหนาของคราบไขมันในหลอดเลือดและเพิ่มการทำงานของเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด ส่งผลให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
• การลดคอเลสเตอรอล: งานวิจัยใน Journal of Cardiovascular Pharmacology แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่รับ Phosphatidylcholine มีการลดลงของ LDL คอเลสเตอรอล และมีการปรับปรุงในระดับ HDL
• การปกป้องตับ: ในการศึกษาเกี่ยวกับผู้ป่วยที่มีภาวะตับไขมัน พบว่า Phosphatidylcholine ช่วยในการฟื้นฟูและปกป้องเซลล์ตับจากความเสียหาย
สรุป
Plaquex และ Phosphatidylcholine Therapy เป็นนวัตกรรมที่ก้าวล้ำในการดูแลหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการชะลอกระบวนการชรา การรักษานี้ไม่เพียงช่วยขจัดปัญหาสุขภาพจากหลอดเลือดที่เสียหาย แต่ยังช่วยฟื้นฟูเซลล์และระบบการทำงานของร่างกาย ที่ Mousai Wellness Center เราให้บริการการรักษานี้ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การรักษาเป็นไปตามความต้องการเฉพาะบุคคล
ข้อห้ามและข้อควรระวังในการทำ Plaquex Therapy
Plaquex Therapy เป็นการรักษาที่มีประโยชน์มากในการปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการล้างสารพิษและฟื้นฟูเซลล์ แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่ต้องพิจารณาเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
ข้อห้าม (Prohibitions)
1. ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบใน Plaquex: ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร Phosphatidylcholine หรือสารประกอบอื่น ๆ ใน Plaquex ไม่ควรรับการรักษา
2. ผู้ป่วยโรคตับและไตขั้นรุนแรง: ผู้ที่มีภาวะตับและไตวายรุนแรง อาจไม่สามารถขับสารที่ถูกปล่อยออกจากเซลล์ได้ดี การทำ Plaquex Therapy อาจทำให้เกิดภาวะข้างเคียงได้
3. ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรับเคมีบำบัด: Plaquex อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่กำลังอยู่ในระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด เนื่องจากอาจส่งผลต่อการรักษา
4. ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกง่าย: การทำ Plaquex Therapy อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกในผู้ป่วยที่มีปัญหาเลือดออกง่ายหรือมีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
5. สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ Plaquex ในกลุ่มนี้ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการรักษาในช่วงเวลานี้
ข้อควรระวัง (Contraindications)
1. ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจขั้นรุนแรง: ในผู้ป่วยที่มีปัญหาหัวใจขั้นรุนแรง การรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากการทำ Plaquex Therapy อาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและความดันโลหิต
2. ผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants): ผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) หรือแอสไพริน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับการรักษา เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออก
3. ภาวะไทรอยด์ผิดปกติ: ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับไทรอยด์ควรได้รับการตรวจประเมินก่อนการทำ Plaquex Therapy เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในระดับไขมันและการเผาผลาญอาจส่งผลต่อการทำงานของไทรอยด์
4. ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง: การรักษาในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
สรุป
Plaquex Therapy เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อห้ามและข้อควรระวัง เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย การปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น.
การเตรียมตัวก่อนทำ Plaquex Therapy
เพื่อให้การรักษาด้วย Plaquex Therapy มีประสิทธิภาพและปลอดภัย การเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ นี่คือขั้นตอนการเตรียมตัวที่ควรทำก่อนเริ่มการรักษา:
1. ปรึกษาแพทย์
- การประเมินสุขภาพอย่างละเอียด: ควรนัดปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการทำ Plaquex Therapy โดยแพทย์จะทำการตรวจสอบประวัติสุขภาพ รวมถึงสภาวะสุขภาพปัจจุบันและยาที่คุณใช้อยู่
- การตรวจวินิจฉัย: แพทย์อาจสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น
– ตรวจเลือด (รวมถึงการตรวจการทำงานของตับและไต)
– ตรวจระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือด
– ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เพื่อตรวจสอบสุขภาพหัวใจ
– ตรวจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพเฉพาะของคุณ เช่น การตรวจต่อมไทรอยด์
2. การตรวจสอบยาและอาหารเสริม
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: หากคุณกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น วาร์ฟารินหรือแอสไพริน) แพทย์อาจปรับขนาดยา หรือแนะนำให้หยุดใช้ชั่วคราวเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดเลือดออก
- อาหารเสริม: แจ้งแพทย์เกี่ยวกับอาหารเสริมที่คุณรับประทาน โดยเฉพาะที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด (เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา หรือกระเทียม) เนื่องจากอาจจำเป็นต้องหยุดการใช้ก่อนเข้ารับการรักษา
- หลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบ: อาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยา NSAIDs (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำหรือเลือดออกได้
3. การดื่มน้ำและโภชนาการ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำมาก ๆ ก่อนเข้ารับการรักษา เพราะจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและทำให้ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาได้ดีขึ้น
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: ในช่วงก่อนการรักษา ควรรับประทานอาหารที่สมดุลและไขมันต่ำ เพื่อช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาได้ดียิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงที่อาจรบกวนการเผาผลาญไขมัน
4. การอดอาหารก่อนการรักษา
- การอดอาหาร (หากจำเป็น): ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ คุณอาจจำเป็นต้องอดอาหารเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนการรักษา เพื่อให้การล้างพิษและการฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5. แจ้งแพทย์เกี่ยวกับการแพ้และสภาวะทางสุขภาพ
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้ใด ๆ โดยเฉพาะการแพ้ Phosphatidylcholine หรือสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ในระหว่างการรักษา
6. การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่: การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่อาจส่งผลต่อการทำงานของตับและการไหลเวียนของเลือด ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของการรักษา แนะนำให้หลีกเลี่ยงก่อนการรักษาอย่างน้อย 2-3 วัน
- การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการล้างพิษ ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยง
7. การเตรียมความพร้อมทางจิตใจและอารมณ์
- ผ่อนคลาย: การเตรียมความพร้อมทางจิตใจและอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ควรฝึกทำสมาธิหรือการหายใจลึก ๆ เพื่อผ่อนคลายความกังวลก่อนการรักษา
8. การเตรียมตัวหลังการรักษา
- การขนส่งและการพักฟื้น: แนะนำให้จัดเตรียมการเดินทางกลับบ้านหลังจากการรักษา โดยเฉพาะในครั้งแรก เนื่องจากคุณอาจรู้สึกอ่อนเพลียหรือมึนศีรษะหลังการรักษา
- การพักผ่อน: ควรเตรียมตัวพักผ่อนหลังการรักษา เพราะร่างกายจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูและกำจัดสารพิษ
สรุป
การเตรียมตัวอย่างถูกต้องสำหรับ Plaquex Therapy จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง การปฏิบัติตามแนวทางการเตรียมตัวข้างต้นพร้อมกับการปรึกษาแพทย์ จะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยในการรักษา.
การทำ Plaquex Therapy ควรทำกี่ครั้ง?
จำนวนครั้งของการทำ Plaquex Therapy จะขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพและเป้าหมายในการรักษาของแต่ละบุคคล โดยทั่วไป การทำ Plaquex Therapy จะเป็นการรักษาแบบต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ข้อแนะนำทั่วไปมีดังนี้:
1. สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือด (เช่น หลอดเลือดแข็งตัว):
- โดยปกติจะแนะนำให้ทำ 10 ถึง 30 ครั้ง สำหรับผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดแข็งตัวหรือมีคราบไขมันสะสมในหลอดเลือด จำนวนครั้งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
- โดยการทำการรักษามักจะทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนจนครบคอร์สการรักษา
2. เพื่อการล้างพิษและชะลอวัย:
- สำหรับการล้างพิษหรือชะลอวัย การทำ 5 ถึง 10 ครั้ง อาจเพียงพอ การรักษานี้จะช่วยซ่อมแซมเยื่อหุ้มเซลล์และปรับปรุงสุขภาพโดยรวม
- การทำทรีตเมนต์อาจทำเป็นรายสัปดาห์หรือทุกสองสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ป่วยและการตอบสนองต่อการรักษา
3. การบำรุงรักษา:
- หลังจากทำครบคอร์สแรกแล้ว อาจมีการแนะนำให้ทำ การรักษาเสริม ทุกๆ ไม่กี่เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์ที่ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพในระยะยาว
4. แผนการรักษาเฉพาะบุคคล:
- แพทย์จะประเมินสภาวะสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละรายและจัดทำแผนการรักษาเฉพาะบุคคล บางคนอาจต้องการการรักษาน้อยกว่า ในขณะที่ผู้ที่มีภาวะรุนแรงอาจต้องการการรักษาที่นานขึ้น
สรุป
โดยเฉลี่ย การทำ Plaquex Therapy สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดจะแนะนำให้ทำ 10 ถึง 30 ครั้ง ขณะที่การล้างพิษและชะลอวัยอาจทำเพียง 5 ถึง 10 ครั้ง ทั้งนี้ แพทย์จะวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพและเป้าหมายของผู้ป่วยแต่ละราย
อาการไม่พึงประสงค์ของ Plaquex Therapy
แม้ว่า Plaquex Therapy จะเป็นการรักษาที่มีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการฟื้นฟูเซลล์ แต่ก็มี อาการไม่พึงประสงค์ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในบางราย อาการเหล่านี้มักจะไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด:
อาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น
1. อาการแพ้หรือระคายเคือง:
- บางคนอาจเกิดอาการแพ้สาร Phosphatidylcholine ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักใน Plaquex Therapy อาการแพ้ที่พบได้ ได้แก่ ผื่นแดง คัน หรือบวมบริเวณที่ฉีดยา
- หากมีอาการแพ้รุนแรง เช่น หายใจลำบาก หรือบวมที่หน้า ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที
2. ความรู้สึกไม่สบายที่บริเวณฉีด:
- บางรายอาจมีอาการปวด บวม หรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดยา แต่โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะหายไปภายในไม่กี่วัน
3. อาการวิงเวียนศีรษะหรืออ่อนเพลีย:
- ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจรู้สึกวิงเวียนศีรษะหรืออ่อนเพลียหลังการทำ Plaquex Therapy แนะนำให้พักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยฟื้นตัว
4. ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง:
- Plaquex Therapy อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับความดันโลหิต โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัญหาหลอดเลือดหรือโรคหัวใจ ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตอย่างใกล้ชิด
5. ปฏิกิริยาจากการล้างพิษ (Detox Reaction):
- บางรายอาจมีอาการเช่น ปวดศีรษะ อ่อนล้า หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายเริ่มล้างสารพิษ (Detoxification) อาการเหล่านี้มักเป็นอาการชั่วคราวและจะหายไปเมื่อร่างกายปรับตัวได้
6. อาการคลื่นไส้หรืออาเจียน:
- ในบางกรณี การรักษาอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้หรืออาเจียน แนะนำให้รับประทานอาหารเบา ๆ ก่อนการรักษาเพื่อช่วยลดอาการนี้
การดูแลหลังเกิดอาการไม่พึงประสงค์
- พักผ่อนให้เพียงพอ: หากมีอาการอ่อนเพลียหรือวิงเวียนศีรษะ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำมาก ๆ: การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ร่างกายล้างสารพิษได้เร็วขึ้น
- ติดตามอาการ: หากมีอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงหรือไม่หายไปภายในไม่กี่วัน ควรแจ้งแพทย์เพื่อประเมินอาการและปรับการรักษา
สรุป
แม้ว่า Plaquex Therapy จะมีความปลอดภัยสูง แต่อาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการแพ้ ความรู้สึกไม่สบายที่บริเวณฉีด หรืออาการอ่อนเพลีย หากมีอาการรุนแรงหรือมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด.
การตรวจเลือดที่เกี่ยวข้องกับ Plaquex Therapy
ก่อนเริ่มต้นการรักษาด้วย Plaquex Therapy แพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อประเมินสุขภาพและเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของการรักษา การตรวจเลือดเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถออกแบบแผนการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยการตรวจเลือดที่สำคัญมีดังนี้:
1. การตรวจระดับไขมันในเลือด (Lipid Profile)
- คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol): เพื่อดูระดับไขมันในเลือดโดยรวม
- LDL (Low-Density Lipoprotein): เป็นคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีที่สะสมในหลอดเลือด การลดระดับ LDL เป็นหนึ่งในเป้าหมายของ Plaquex Therapy
- HDL (High-Density Lipoprotein): เป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีที่ช่วยขจัดไขมันจากหลอดเลือด การรักษาอาจช่วยเพิ่ม HDL
- ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides): ตรวจดูระดับไขมันที่สะสมในเลือด ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคหัวใจ
2. การตรวจการทำงานของตับและไต (Liver and Kidney Function Tests)
- AST และ ALT (Aspartate Aminotransferase และ Alanine Aminotransferase): ตรวจการทำงานของตับเพื่อดูว่ามีการทำงานผิดปกติหรือไม่
- BUN และ Creatinine: ตรวจการทำงานของไต เนื่องจากการขับสารพิษออกจากร่างกายผ่าน Plaquex Therapy จะส่งผลต่อการทำงานของไต
3. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Blood Glucose Levels)
- Fasting Blood Sugar: ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร เพื่อประเมินความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานหรือควบคุมเบาหวานในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง
- HbA1c: ตรวจเพื่อดูระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
4. การตรวจการอักเสบ (Inflammatory Markers)
- CRP (C-Reactive Protein): เป็นการตรวจหาการอักเสบในร่างกาย การอักเสบในหลอดเลือดอาจเป็นสาเหตุของปัญหาหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่ง Plaquex Therapy ช่วยลดการอักเสบนี้ได้
- ESR (Erythrocyte Sedimentation Rate): ใช้ตรวจหาการอักเสบแบบทั่วไปในร่างกาย
5. การตรวจระดับสารพิษและโลหะหนัก (Heavy Metal and Toxin Testing)
- การตรวจนี้จะช่วยประเมินการสะสมของโลหะหนักในร่างกาย เช่น ตะกั่ว ปรอท หรือแคดเมียม ซึ่ง Plaquex Therapy สามารถช่วยขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากร่างกายได้
6. การตรวจการทำงานของหัวใจ (Cardiovascular Risk Tests)
- Electrolytes: ตรวจระดับสารอิเล็กโทรไลต์ เช่น โซเดียมและโพแทสเซียม ที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนเลือด
- EKG (Electrocardiogram): ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อดูการทำงานของหัวใจก่อนการรักษา
7. การตรวจระดับฟอสฟาติดิลโคลีน (Phosphatidylcholine Levels)
- การตรวจเพื่อดูระดับของ Phosphatidylcholine ซึ่งเป็นสารสำคัญใน Plaquex Therapy เพื่อดูว่าร่างกายขาดสารนี้หรือไม่ และเพื่อประเมินผลลัพธ์หลังการรักษา
สรุป
การตรวจเลือดที่เกี่ยวข้องกับ Plaquex Therapy มีความสำคัญในการประเมินสภาวะสุขภาพโดยรวมและเพื่อตรวจสอบว่าการรักษานั้นเหมาะสมหรือไม่ การตรวจเลือดที่สำคัญประกอบด้วยการตรวจระดับไขมันในเลือด การทำงานของตับและไต ระดับน้ำตาลในเลือด และสารพิษในร่างกาย เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ.
Vascular Detox (Plaque-X)
"การให้ไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายที่เรียกว่า
ฟอสโฟไลปิด ทางหลอดเลือดดำ เพื่อช่วยลดคราบไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือด"
ช่วยลดคราบไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดแข็ง และโรคหลอดเลือดตีบตัน ทำให้หลอดเลือดสะอาด ช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดไขมันไตรกรีเซอร์ไรด์ และโฮโมซีสเตอีนในเลือด
นอกจากนี้ฟอสโฟไลปิด ยังเป็นส่วนประกอบของเซลทุกเซลภายในร่างกาย การขาดฟอสโฟไลปิดทำให้เซลทำงานไม่มีประสิทธิภาพ การบำบัดด้วยฟอสโฟไลปิด ช่วยฟื้นฟูโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคความจำเสื่อม โรคหย่อนสมถภาพทางเพศ ไตเสื่อม คอเลสเตอรอลและโฮโมซีสเตอีนในเลือดสูง
IV Vascular Detox
คือ การใช้กรดไขมันจำเป็นซึ่งได้จากการสกัดจากพืช (EPL-PP) ในการรักษาโรคอันเกิดจากภาวะ การมีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ EPL–PP ช่วยปรับไขมันส่วนเกินในเลือด ขจัดไขมันที่ก่อตัวเป็นก้อน (Plaque) และเกาะตามผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดแข็งและหลอดเลือดตีบอุดตัน และช่วยปรับสมดุลของกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยรักษาโรคหลอดเลือดแข็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีและนุ่มนวล ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดี ลดการเกิดแผลเป็น แผลกดทับ และแผลที่เกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยง
Is the use of essential fatty acids derived from plant extracts (EPL-PP) in the treatment of diseases caused by Having abnormal lipid levels in the blood, EPL–PP helps adjust the excess lipids in the blood. Eliminate fat that forms clots (plaque) and adheres to the artery walls. which is the cause of atherosclerosis and atherosclerosis and help balance the process of burning fat in the body Helps to remove fatty deposits on the artery walls (plaque) and reduce the occurrence of plaque in the arteries. Helps treat atherosclerosis coronary heart disease and reduce chest pain Keeps skin healthy and soft. Helps the circulatory system. Reduce the occurrence of scars, pressure sores and wounds caused by lack of blood supply.