CHELATION THERAPY
Chelation Therapy
Chele การกำจัดสารพิษโลหะหนักด้วยสารจับโลหะหนัก ( Chelation Therapy )
คีเลชั่นบำบัด ( Chelation Therapy ) คือการใช้คีเทอเลอร์จับกับโลหะหนัก ซึ่งเป็นสารพิษที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะภายในหลอดเลือด
ดังนั้น คีเลชั่นบำบัด ( Chelation Therapy ) จึงทำหน้าที่เหมือนการทำความสะอาดหลอดเลือดให้อยู่ในสภาพใหม่เอี่ยมเสมอ จึงส่งผลให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ โอกาสการเกิดโรคร้ายแรงก็ลดลง
คีเลชั่นบำบัด ตัวช่วยล้างสารพิษ ขจัดโลหะหนักในร่างกาย
คีเลชั่นบำบัด ( Chelation Therapy ) มีรากศัพท์มาจาก “คีเล่ (Chele)” หมายถึง การยึดติดแบบก้ามปูของสารออร์แกนิคกับโมเลกุลของโลหะ ซึ่งเป็นประจุบวก เป็นที่มาของสารที่ใช้ในการจับและกำจัดสารโลหะหนักว่าเป็น คีเลเทอร์ (Chelator) ซึ่งคีเทอเลอร์ที่ใช้ในการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ก็มีอยู่หลายชนิด เช่น ได้แก่ D-Penicillamine , Dimercapto-Propane-Sulphonic Acid (DMSA), Deferoxamine (DFO)
ในปัจจุบันใช้สารที่เป็นกลุ่มสังเคราะห์ของสาร Amino ที่เรียกว่า Ethylenediamine Tetraacetic Acid (EDTA) อย่างกว้างขวางและแพร่หลายมากที่สุด
เนื่องจาก EDTA เป็นกรดอะมิโนสังเคราะห์แบบสายยาว จะไม่ถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์การทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy ) ด้วย
EDTA จะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ โดยจะจับกับโมเลกุลของโลหะหนักในร่างกายติดออกมาด้วย ซึ่งโมเลกุลของ EDTA จะไม่ทำอันตรายใดๆกับร่างกาย ดังนั้น EDTA จึงประโยชน์ในการรักษามากที่สุด ในการให้ทางหลอดเลือดดำ ( IV Drip ) นั่นเอง
ข้อดีของการทำคีเลชั่น (Chelation Therapy )
– ช่วยกำจัดตะกรันแคลเซียมและโลหะหนักที่ตกค้างของภายในหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด ลดการอุดตันในหลอดเลือดทั้งในสมองและหัวใจ
.
– ลดอาการอักเสบของผิวหนัง ลดปริมาณการเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุของการชราก่อนวัยอันควร
.
– ระบบการทำงานของปอดดีขึ้น ลดโอกาสเกิดมะเร็ง
.
– ช่วยให้สมองแจ่มใส ช่วยให้ความจำดี บรรเทาอาการอัลไซเมอร์
การล้างสารพิษและโลหะหนักต้องทำบ่อยแค่ไหน
– สามารถทำได้ห่างกันเร็วสุดทุก 1-2 สัปดาห์ แล้วแต่ปริมาณสารพิษที่มากหรือแต่ละบุคคล
– ความถี่ในการมาทำ IV Drip Chelation Therapy ขึ้นอยู่กับปริมาณสารพิษสะสมหรือแต่ละบุคคล บางคนทำ 3 ครั้งก็รู้สึกว่าสดชื่นแล้ว
คีเลชั่นบำบัด ( Chelation Therapy )
เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะกับบุคคลดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีปัญหาสารพิษหรือโลหะหนักสะสมในร่างกาย
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตัน เช่น ระดับไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่มีระดับสารอนุมูลอิสระสูง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่ใกล้ชิดกับผุ้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ดื่มกาแฟ ชา เป็นประจำ
- ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง เช่น อาการเวียนศีรษะง่าย
- ผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น
- ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี และต้องการรักษาสภาพของหลอดเลือดไม่ให้เกิดการอุดตัน หรือต้องการกำจัดโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย
การปฏิบัติตัวก่อนทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
ก่อนการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) แพทย์จะต้องประเมินสภาพร่างกายเบื้องต้น โดยการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และมีการตรวจเลือดเพื่อดูระดับการทำงานของไต และระดับอิเลคโทรไลท์ต่าง ๆ ในกระแสเลือด
อาการหลังทำ คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) มีอะไรบ้าง
ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็จะหายเป็นปกติเอง โดยทั่วไปจะมีอาการดังนี้
- หลังทำครั้งแรกมักจะมีอาการอ่อนเพลีย 24- 48 ชม. เพราะปกติแล้วสารพิษเหล่านี้มักจะสะสมอยู่ที่อวัยวะ ร่างกายจำเป็นต้องนำพลังงานมาใช้เพื่อกำจัดสารพิษ โลหะหนัก แต่มีพลังงานที่ได้จากกระบวนการเมตาบอลิซึมไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการอ่อนล้า อ่อนเพลียได้
- ปวดศีรษะ
- ภาวะระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
- คลื่นไส้ อาเจียน
Oral Chelation DMSA : Dimercapto succinic acid
DMSA คือ กลุ่มไทออลสองกลุ่มที่สามารถจับกับไอออนบวกของโลหะ เช่น ปรอท (Hg2+) ตะกั่ว (Pb2+) สารหนู (As3+) และแคดเมียม (Cd2+)
เมื่อติดเข้ากับ DMSA แล้ว โลหะหนักเหล่านี้จะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
การรักษาพิษจากโลหะหนัก DMSA ไม่เพียงแต่ขับสารปรอทในเลือด ตับ และไตเท่านั้น ยังสามารถกำจัดสารพิษที่สะสมแม้กระทั่งจากสมองอีกด้วย
ข้อดีของการ DMSA
ซึ่งแตกต่างจากคีเลเตอร์อื่น ๆ ที่ต้องฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ข้อดีประการหนึ่งของ DMSA ก็คือข้อดีของการละลายน้ำได้และสามารถรับประทานได้ ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพ
DMSA มีจำหน่ายในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย่างไรก็ตาม จะต้องใช้ DMSA ด้วยความระมัดระวัง ควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนรับประทาน
ขนาดยาขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณและคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งการล้างพิษโดยสมบูรณ์อาจใช้เวลาถึง 2 หรือ 3 ปี ขึ้นอยู่กับปริมาณสารพิษและสภาวะสุขภาพของผู้ป่วย แต่การรับประทาน DMSA เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
คีเลชั่นบำบัด (Chelation) มีรากศัพท์มาจาก “คีเล่ (Chele)” หมายถึง การยึดติดแบบก้ามปูของสารออร์แกนิคกับโมเลกุลของโลหะ ซึ่งเป็นประจุบวก
เป็นที่มาของสารที่ใช้ในการจับและกำจัดสารโลหะหนักว่าเป็น คีเลเทอร์ (Chelator) ซึ่งคีเทอเลอร์ที่ใช้ในการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) ก็มีอยู่หลายชนิด เช่น ได้แก่ D-Penicillamine , Dimercapto-Propane-Sulphonic Acid (DMSA), Deferoxamine (DFO)